Posted in

คุยเฟื่องเรื่องวัสดุเหลือใช้: การเดินทางของขยะ

โดย พิมาภา ธิติวณิชย์

พอคิดถึงเรื่องขยะ อันที่จริงแล้ว ภาพที่เรามักจะมองเห็นคือ

ขยะ ลงถังขยะในบ้าน

เมื่อถังเต็ม ผูกถุง ไปทิ้งในถังขยะนอกบ้าน

รอให้เขตหรือเทศบาลมาเก็บไป

…จากนั้น…

รถขยะบรรทุกขยะของบ้านเรา บ้านอื่น คอนโดมิเนียม อพาร์ตเม้นท์ สำนักงาน ไปที่จุดพักขยะ

ไปที่หลุมฝังกลบ

.. ก็ มักจะจบลงเท่านี้

แต่ยังมีความซับซ้อนกว่านั้น เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจลักษณะของขยะบ้านเรา คือ มีทั้งขยะที่ขายได้ และขายไม่ได้ ดังนั้น มันมีกระบวนการยิบย่อย แทรกอยู่ในแต่ละขั้นตอน เช่น ตอนที่เราทิ้งขยะลงถังขยะในบ้าน ถ้าบ้านไหนมีแม่บ้าน ก็มักจะเห็นแม่บ้านคัดแยกขยะเอาไว้ และรอขาย ดังนั้น ถังที่เต็มแล้ว ผูกถุง ไปทิ้งในถังขยะนอกบ้านนั้น ก็มักจะเป็นขยะจำพวก เศษขยะ หรือ ขยะขายไม่ได้ (ถุงแกง เศษกระดาษ ทิชชู่ เศษอาหาร เป็นต้น)

ทั้งนี้ หลายบ้านก็ไม่ได้แยกขยะ บางบ้านแยก ก็แยกเฉพาะขยะบางประเภทเท่านั้น ดังนั้น ขยะที่อยู่หน้าบ้านเรา ก็มักจะมีพี่ซาเล้ง หรือ คนเก็บของเก่า มามองๆ และคัดเลือกไป จากนั้น ขยะก็จะถูกคัดเลือกอีกที บนรถขนขยะ .. และถูกคัดเลือกอีกทีที่จุดพักขยะ ที่เหลือก็ไปหลุมฝังกลบแล้ว …. ทว่า ปัญหาไม่ได้จบแค่ เก็บขยะจากบ้านเรือน จากชุมชน ไปลงหลุมฝังกลบ เพราะในแต่ละวันมีปริมาณขยะในระดับ “มหาศาล”

ปัญหาถัดมาคือ จะหาที่ตรงไหนใช้ฝังกลบขยะ เพราะแต่ละจุดที่ฝังกลบ ไม่ได้สามารถฝังไปได้เรื่อย ๆ เนื่องจากขยะที่ทิ้งรวมๆ กันมานั้น ใช้เวลานานมากกว่าจะย่อยสลายได้ หรือ จะเอาไปเผา? พอพูดถึงคำว่า “เผาขยะ” เรามักจินตนาการไปถึงการจุดไฟแล้วเผาให้ไหม้ไปเสียทันใด .. จริงๆ แล้ว การเผาขยะ ก็นับเป็นหนึ่งในวิธีการจัดการขยะที่เป็นที่นิยมในกลุ่มที่ไม่มีพื้นที่ หรือ มีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการขยะสูงมาก เช่น พื้นที่เกาะ ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น หรือ อาจเป็นแหล่งท่องเที่ยว .. ครั้นจะบรรทุกขยะข้ามน้ำข้ามทะเล เข้าเมือง และไปยังหลุมฝังกลบ (ซึ่งต้องทำทุกวันๆ แน่ๆ) ดูแล้วจะสิ้นเปลืองทั้งพลังงานเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ .. การเผาขยะ จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกในการจัดการขยะ .. แต่ มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะไม่ใช่ขยะทุกชนิดจะเข้าเตาเผาไปในทันใด ก็ต้องมีการคัดเลือกกันก่อนในระดับหนึ่ง ในส่วนของเตาเผาเอง ก็ต้องเป็นเตาเผาที่มีประสิทธิภาพสูงมาก และนอกจากนี้ ยังต้องมีการจัดการ “ควัน” ที่เกิดจากการเผาไหม้อีก .. จริงๆ ผู้เขียนก็เคยคิดเหมือนกันว่า ก็แล้วทำไมเราไม่เผาขยะแล้วใช้พลังงานความร้อนที่เกิดจากการเผาขยะนั้นไปใช้ประโยชน์ เช่น นำไปเป็นเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้า หรือ นำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้ความร้อนสูง .. แต่อย่างที่เอ่ยมาแล้ว ว่า ไม่ใช่ขยะทุกชนิดที่จะเผาได้ เราต้องไม่ลืมว่าในปัจจุบัน คนไทยยังคงทิ้งขยะแบบ รวมถังกันอยู่มาก .. แบตเตอรี่เอย สายไฟเอย ก็ เห็นกันอยู่ในจุดพักขยะให้เกลื่อน สมมุติอะไรๆ ก็เอาไปเผาโดยไม่คัดเลือก หรือ เลือก แต่เลือกไม่หมด เกิด “บึ้ม!” ขึ้นมา ไม่อยากจะจินตนาการถึงความเสียหาย ทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินเลย (จะว่าไปแล้ว เรื่องเตาเผาเสีย ก็ได้ยินบ่อยๆ เหมือนกัน ก็เพราะมีขยะแปลกๆ นี่ล่ะ ปนเข้าไป)

พูดถึงประเด็นนี้ ก็ชวนให้คิดต่อว่า แม้ว่าจะฝังกลบ หรือจะเผา หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญมากๆ คือ “ขยะอะไรที่เอาไปเผา หรือ เอาไปฝังบ้าง” ผู้เขียนเคยทำกิจกรรมง่ายๆ แต่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้มากทุกครั้ง กิจกรรมนั้นคือ “จ้บตามองจ้องขยะ” วิธีการนั้นก็แสนง่าย คือ ผู้เขียนไปถ่ายภาพจากกองขยะมา ต้องเรียกได้ว่า ถ่ายให้เห็นภาพรวมๆ ชัดๆ แบบไม่เจาะจง จากนั้น อาจจะฉายขึ้นโปรเจคเตอร์ จอโทรทัศน์ หรือ พิมพ์ภาพให้ใหญ่พอที่จะสังเกตเห็นขยะได้ .. และผู้เขียน ขอให้ผู้ร่วมกิจกรรมวิเคราะห์ว่าในภาพกองขยะที่มองเห็นนั้น มีขยะอะไร ประเภทไหนบ้าง โดยกิจกรรมนี้ก็ปรับประยุกต์เนื้อหาได้ เช่น ถ้ารณรงค์เรื่องการคัดแยกกล่องเครื่องดื่ม ก็ให้ผู้ร่วมกิจกรรมช่วยกันหากล่องเครื่องดื่มในกองขยะ หรือ ถ้ารณรงค์เรื่องผลกระทบต่อดิน น้ำ ก็ให้ผู้ร่วมกิจกรรมดูว่าในกองขยะนี้ มีขยะประเภทไหน ที่พร้อมจะสร้างผลกระทบดังกล่าว ในการทำกิจกรรมนี้ ทุกครั้งก็มักจะเห็น “ขยะหน้าใหม่” ทั้งที่เป็นภาพเดิม นั่นก็เพราะเราเปลี่ยนผู้ร่วมกิจกรรมทุกครั้ง ผู้เขียนทำกิจกรรมนี้ในทุกครั้งที่ได้รับโอกาสให้ไปรณรงค์ตามที่ต่างๆ กล่าวได้ว่ามากกว่า 500 ครั้งแน่ๆ (นับจากโรงเรียน และชุมชน ที่เราไปลุยพื้นที่มา) หลายต่อหลายครั้ง ก็เห็นภาพขยะหน้าใหม่ เช่น เห็นถ่านไฟฉายอยู่ตรงกลางระหว่างถุงพลาสติกเน่าๆ 1 ใบ กับขวดแตกๆ หรือ เห็นซากรีโมท ซ่อนอยู่ด้านใต้กองขยะ มีกระดาษบังอยู่หน่อย เป็นต้น

ก็ชวนให้คิดได้ต่อไปว่า เอ๊ะ.. นี่จุดนี้คือจุดพักขยะที่เตรียมนำขยะไปสู่หลุมฝังกลบ ทำไมถึงมีขยะหลากหลายขนาดนี้ ถ้าเราคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง คัดแยกตั้งแต่ตอนที่ขยะยังไม่เลอะเทอะ กองขยะนี้จะยุบลงได้อย่างน้อย 50% แน่ๆ หรือถ้ากระบวนการรีไซเคิล (Recycle) อัพไซเคิล (Upcycle) ไพโรไลซิส (Pyrolysis) ของบ้านเรามีประสิทธิภาพสูง (หรือมีการจัดการขยะ เพื่อนำส่งกระบวนการเหล่านี้ให้ภาคเอกชนได้) ดีไม่ดี กองขยะกองนี้ อาจเหลือ 0 ชิ้นเลยก็ได้ .. ใช่แล้ว.. เรากำลังพูดถึง “0 ชิ้น” หรือพูดกันเก๋ๆ อยู่ในแนวคิด Zero Waste ขยะเหลือศูนย์นั่นเอง

แล้วจะเป็นไปได้หรือ เป็นไปได้อย่างไร .. ถ้าถามผู้เขียน ก็คงจะขอตอบว่า เป็นไปได้ แต่การจะเป็นไปได้ ไม่ใช่แค่คัดแยกกันปลายทางอย่างเดียว แต่ต้องเกิดจากการ คิด ก่อนใช้ คิด ก่อนซื้อ ด้วย ผู้เขียน ทดลองทำกับตัวเองมาแล้วในระยะหนึ่ง ตอนแรก ก็ยากเหมือนกัน แต่พอทำได้ ก็เป็นโหมดธรรมดาของชีวิตไป

ในแนวคิด Zero Waste นี้ ผู้เขียนคิดว่าต่างคนต่าง Zero นี้ ค่อนข้างเหนื่อย และเปลืองทรัพยากรบางอย่าง แต่ถ้าเราทำกันเป็นชุมชน หรือ มีหน่วยงานที่รับผิดชอบร่วมผลักดัน คิดว่า Zero Waste นี้ เกิดขึ้นได้ และน่าจะเป็นประโยชน์มหาศาลทั้งด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจกันเลยทีเดียว

แล้วคุณผู้อ่านมีภาพ “อุดมคติ” เรื่องการจัดการขยะหรือไม่? ถ้ามี ภาพนั้นเป็นอย่างไร?

มาถึงตอนนี้ ผู้เขียนเชื่อว่า คุณผู้อ่านคงเห็นภาพรวมๆ ของการเดินทางของขยะกันแล้ว เรามาพูดลงลึกเสียหน่อยในประเด็นที่สำคัญๆ ของการจัดการขยะ และกระบวนการต่างๆ ที่จะใช้เพื่อส่งให้ขยะกลับไปเกิดใหม่ได้

เราย้อนภาพกลับไปที่ขยะจากครัวเรือน สมมุติ ว่ามีการจัดการที่ถูกต้อง คือ ทุกบ้านคัดแยกขยะกัน อาจไม่ถึงกับแยกเป็นประเภทๆ แต่อย่างน้อยๆ แยกชนิดว่าเป็น

1) ขยะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ (Biodegradable) 

2) ขยะรีไซเคิลได้ (Recyclable)

3) ขยะทั่วไป (Other / Trash)

แยกให้ได้แค่นี้ก่อนก็ยังดี ส่วนขยะอันตราย เช่น ถ่านไฟฉาย แบตเตอรี่ กระป๋องสเปรย์  เครื่องใช้ไฟฟ้า หลอดไฟ ก็ขอให้แยกเป็นประเภทพิเศษไป

เมื่อคัดแยกได้ตามนี้แล้ว ก็แยกสีถุงขยะไว้ เมื่อรถของเขต / เทศบาลเก็บไป ก็แยกช่องตามประเภทที่บ้านเรือน ชุมชนคัดแยกไว้ .. พอไปถึงจุดพักขยะ ก็แยกขยะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ กลุ่มนี้ล่ะสามารถนำไปทำปุ๋ยได้ เคยเห็นที่เทศบาลเมืองแกลง จ.ระยอง มีการจัดการเรื่องนี้ได้สดีมากๆ ได้ทั้งแก๊ส ได้ทั้งปุ๋ย ปุ๋ยนี้ออกมาเป็นเม็ดๆ แจกจ่ายชาวบ้านกันถ้วนหน้า

จากนั้น ขยะรีไซเคิลได้ ก็เอาขึ้นสายพาน ช่วยกันคัดแยกประเภท จะใช้คนแยก หรือเครื่องแยก มาถึงจุดนี้ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เพราะมีการแยกมาตั้งแต่ต้นทางแล้ว จากนั้น ก็นำส่งกระบวนการรีไซเคิลกันต่อไป

สำหรับขยะทั่วไป อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คือ ก็น่าจะนำขึ้นสายพานคัดแยกกันอีกสักทีก่อนเพราะอาจมีขยะบางจำพวกที่ยังสามารถนำไปรีไซเคิล หรือเข้ากระบวนการเกิดใหม่ได้ (จริงๆ แล้ว ผู้เขียนคิดว่าเราควรมีตำแหน่ง “เจ้าพนักงานชำนาญการด้านการคัดแยกขยะ” ด้วยซ้ำ)

ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของเรื่องการคัดแยกตั้งแต่ครัวเรือนคือ

1) ทำให้ประชาชนเข้าใจตรงกันว่าขยะอะไรอยู่ในประเภทไหน

2) ขอความร่วมมือทำความสะอาดขยะที่คัดแยก

เท่านี้ล่ะ ที่เหลือก็เป็นเรื่องของการให้คำแนะนำ การขอความร่วมมือ รณรงค์มีโปรโมชั่นจูงใจกันไป

กลับมาเรื่องของ ขยะทั่วไปต่อ .. หลังจากที่คัดแยกจนเหลือแต่มูลฝอยกันแล้ว ในความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนนะ เราน่าจะเอาไปทำพลังงาน คือ เอาไปเผาเป็นเชื้อเพลิงให้ความร้อน แต่ต้องมีเตาเผาประสิทธิภาพสูง หรือกระบวนการจัดการควัน ให้มีประสิทธิภาพ

ในส่วนของกระบวนการส่ง “น้องขยะ” กลับไปเกิดใหม่นั้น มีคำศัพท์ที่ผู้เขียนเลือกมาใช้อยู่ 3 คำ นั่นคือ “รีไซเคิล (Recycle)”  “อัพไซเคิล (Upcycle)” และ “ไพโรไลซิส (Pyrolysis)” เรามาดูนิยาม ความหมายกันสักหน่อยว่า 3 คำนี้คืออะไร และใช้กับอะไรบ้าง

รีไซเคิล (Recycle)

คำนี้ เราได้ยินกันบ่อยมากๆ และมักจะใช้ทับศัพท์ไปเลยว่า รีไซเคิล ทั้งที่หลายๆ กระบวนการที่ใช้ในการ “แปรรูป” วัสดุเหลือใช้ (ในที่นี้ขอเรียกขยะ ว่า วัสดุเหลือใช้) ไม่ได้เข้าข่ายการ “รีไซเคิลนัก”

ลักษณะของการ “รีไซเคิล” คือ การนำวัสดุเหลือใช้กลับเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่

และจะสังเกตว่า ไม่ว่าที่ไหน จะนิยามอย่างไร ลักษณะเฉพาะของการ “รีไซเคิล” นี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ต้องมีการนำวัสดุเหลือใช้ หรือ ของเสีย ของพังแล้ว “กลับเข้าสู่กระบวนการ” เพื่อผลิตใหม่ เน้นคำว่า กลับเข้าสู่กระบวนการ ไม่ว่ากระบวนการนั้นจะใช้เครื่องจักร หรือ มนุษย์ทำด้วยตนเอง ไม่ผ่านเครื่องจักร ถ้าวัสดุนั้นๆ ได้ “ผ่านกระบวนการแปรรูป” แล้วไปเกิดใหม่เป็นข้าวของเครื่องใช้เครื่องตกแต่ง หรืออะไรก็ตามที่นำมาใช้งานได้ ก็นับว่า เป็นการรีไซเคิลทั้งนั้น

เคยมีนักเรียนคนหนึ่ง ถามผู้เขียนในขณะที่ไปบรรยายว่า ถ้าเรานำรถยนต์เก่าๆ มากๆ แต่ตัวถังไม่ผุ มายกเครื่องใหม่ ขัดสีใหม่ แล้วใช้งานได้ (จากที่ตายสนิท) อย่างนี้เรียกว่ารีไซเคิลได้ไหม เพราะทำให้เกิดใหม่เหมือนกัน … ในเรื่องนี้ ผู้เขียนนิยามให้ว่า เป็นการสร้างใหม่ (Rebuild) บางส่วนนะ เพราะอย่างเครื่องยนต์ที่ยกเครื่องใหม่ หมายถึง เรายกเอาเครื่องเก่าออกไป ใส่เครื่องใหม่เข้ามาแทน . ตัวเครื่องยนต์เก่านั้น ก็คงไปถูกแยกชิ้นส่วน ขาย หรือเอาเข้ากระบวนการ “รีไซเคิล” (เช่น เหล็ก ก็เอาไปหลอม เป็นต้น) .. ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้ชี้ถูกผิด ไม่ได้ให้คำตอบที่ฟันธงว่า เป็นหรือไม่เป็น แต่แนะนำให้น้องนักเรียนได้ลองหาข้อมูลสิ่งต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการรีไซเคิล แล้วเก็บสถิติ จากนั้นวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ตนสงสัยอยู่นั้น ใช้คำว่า รีไซเคิล ได้หรือไม่

สำหรับเรื่องนี้ ผู้เขียนรู้สึกยินดี ดีใจ ที่เด็กไทยช่างคิด รู้จักสังเกตและสงสัย ส่งผลให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ ในเรื่องนี้ผู้เขียนขอให้คุณครูช่วยน้องๆ ให้เป็นงานค้นคว้าต่อไป

แล้วคุณผู้อ่านมีความเข้าใจคำว่า “รีไซเคิล” อย่างไร?

อัพไซเคิล (Upcycle)

ผู้เขียนเคยได้ยินคำว่า อัพไซเคิล มานานพอสมควร เข้าใจว่าได้ยินมาไม่ต่ำกว่า 15 ปีแล้ว และมาได้ยินอย่างครึกโครมอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ.2564) ส่วนใหญ่คำว่าอัพไซเคิล ในสือไทย มักถูกพูดถึงในฐานะ “เทรนด์ใหม่ในการดูแลสิ่งแวดล้อม” สำหรับผู้เขียนเอง มันไม่ใหม่สักเท่าไหร่ จะว่าไปแล้ว เราทำการ “อัพไซเคิล” กันอย่างครึกโครม มานานแล้ว แต่ยังไม่ถูกเรียกว่าอัพไซเคิล เท่านั้นเอง

ความหมายของคำว่า อัพไซเคิล จาก……….. สรุปได้ว่า เป็นการ รียูสอย่างสร้างสรรค์ หรือทำให้วัสดุเหลือใช้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ มีคุณค่า หรือมูลค่าสูงขึ้น บ้างก็กล่าวในเชิงคุณภาพ และเท่าที่ผู้เขียนศึกษา ไม่พบว่าการอัพไซเคิล ผูกติดกับ “กระบวนการแปรรูป” สักเท่าไรนัก

ถ้าเราลองหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เพียงพิมพ์คำว่า อัพไซเคิล ก็จะพบข้อมูลในลักษณะที่ว่า “10 แนวคิดอัพไซเคิล DIY (Do it yourself หรือ ทำได้ด้วยตัวคุณ)” และสารพัด DIY ภายใต้แนวทาง “อัพไซเคิล” ในข้อสรุปของผู้เขียนนั้น อัพไซเคิล ก็คงให้ความหมายในเชิงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ ไม่ว่าจะวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่แน่นอนว่า ต้องผ่านกระบวนการบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูป การผลิต การประดิษฐ์ เป็นต้น

ทำให้ผู้เขียนนึกไปถึงงานที่เราเห็นกันบ่อยๆ เกี่ยวกับการนำวัสดุเหลือใช้มาประดิษฐ์ เช่น กระเป๋าสานจากกล่องนม (กล่องยูเอชที) หมวกจากกล่องนม (กล่องยูเอชที) กระเป๋าที่ทำจากถุงน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือน้ำยารีดผ้า ดอกไม้ประดิษฐ์จากเศษพลาสติกเหลือใช้ ฯลฯ ที่สามารถนำออกจำหน่าย เป็นรายได้ให้นักเรียน หรือ กลุ่มแม่บ้าน และที่สำคัญ “สามารถนำไปใช้ได้จริง” .. งานเหล่านี้น่าจะเรียกว่าเป็นการ “อัพไซเคิล” มากกว่า “รีไซเคิล”

นอกจากงานประดิษฐ์แล้ว ผู้เขียนก็ยังคงนึกไปถึง สิ่งใดก็ตามที่ “ต่อยอด” มาจากการรีไซเคิล .. เช่น เศษขี้เลื่อยที่นำมาทำเป็นไม้อัด หรือแม้แต่กระดาษอัด ซึ่งเป็นการผ่านกระบวนการ และเกิดชิ้นงานใหม่ไปใช้ตามความประสงค์ เหล่านี้ล้วนทำให้สิ่งที่มูลค่าเป็นศูนย์ และแทบจะติดลบ (เพราะถ้านำไปทิ้ง ก็จะเกิดต้นทุนค่าจัดการขยะทันที) เกิดมีมูลค่าขึ้นมาทันใด นอกจากนี้ ยังเป็นที่นิยมซื้อขายกันหน้าโรงเลื่อยอีกต่างหาก .. ก็น่าจะเรียกว่า อัพไซเคิลได้หรือไม่… น่าคิด

อีกประเภทหนึ่ง เช่น กล่องเครื่องดื่ม (กล่องยูเอชที) นำมาผ่านกระบวนการ (ซึ่งมีหลายรูปแบบ จะเล่าให้ฟังในตอนกล่องเครื่องดื่ม ต่อไป) ก็จะได้ออกมาเป็นวัสดุ เพื่อนำไปทำผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เช่น ได้เยื่อกระดาษ ไปทำเป็นกระดาษที่ใช้กันทั่วไป ผลิตเป็นกระดาษลัง ไปเป็นส่วนผสมของไฟเบอร์ซีเมนต์ยังได้เลย ได้เศษพลาสติกและอะลูมิเนียมฟอยล์ สับ และโรยขึ้นแม่พิมพ์ อัดด้วยความร้อนสูง ออกมาเป็นแผ่นอีโค่บอร์ด .. ตรงนี้ก็นำไปทำอะไรๆ ได้อีกมาก แต่ในตอนนั้นก็ยังมีปัญหาที่แก้ไม่ตก คือ ต้นทุนกระบวนการรีไซเคิล ค่อนข้างสูง แต่วัสดุราคาค่อนข้างต่ำ (แต่ตอนนี้ ก็ ราคาสูงแล้ว) ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีราคาต้นทุนที่สูง ก็ต้องจำหน่ายในราคาที่ผู้ผลิตอยู่ได้ พอราคาสูง สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือ แล้วจะหาตลาดกลุ่มไหนมารองรับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ .. สำหรับโจทย์ข้อนี้ ผู้เขียนมองว่า ช่วงหนึ่งเห็นผลงานของ ดร.สิงห์ อินทรชูโต ซึ่งนำไปผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ สวยงามน่าใช้มาก วิธีการทำเช่นนี้น่าจะเรียกได้ว่า นำสิ่งที่ถูกรีไซเคิลแล้ว ไปอัพไซเคิล หรือ ถ้าจะเรียกไปว่า เป็นการ “อัพไซเคิล” เลย ก็ว่าได้ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า นำวัสดุเหลือใช้ไปผ่านกระบวนการออกมาแล้วเป็นสิ่งนี้ได้เลย เช่นการทำไม้เทียมจากกล่องเครื่องดื่ม เอากล่องทั้งใบ ไปสับ และอัดด้วยความร้อนสูง ออกมาเป็นไม้เทียม แล้วนำมาทำเป็นเฟอร์นิเจอร์สวยงามเป็นต้น

สิ่งที่ผู้เขียนคิดต่ออีกนิดหนึ่งคือ ถ้าอัพไซเคิล ทำให้สิ่งเหล่านี้มีมูลค่าสูงขึ้น … จะมีประชากรไทย (หรือโลก) กี่เปอร์เซ็นต์ ที่ยอมจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนงานกลุ่มนี้ .. ก็เป็นเรื่องจริงที่ว่าการออกแบบดีไซน์ที่สวยงาม น่าดึงดูดนั้น เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้ของมีความน่าซื้อหา น่าใช้ น่าสะสม …. แต่ …. เราผลิตขยะกันทุกวัน สวนทางกับความต้องการซื้อสินค้าในกลุ่มนี้ เรียกได้ว่า อุปสงค์ (Demand = ความต้องการซื้อ) น้อยกว่า อุปทาน (Supply = ความต้องการขาย) แบบนี้แล้ว เราจะจัดการขยะที่ผลิตกันทุกวันอย่างไร .. และผู้เขียน ก็ นึกคิดถึงการ “รีไซเคิล” อยู่ดี

เรียกได้ว่า สนับสนุนแนวคิด ทั้งรีไซเคิล และอัพไซเคิล ทั้งนี้ ในส่วนของรีไซเคิลเอง ก็อาจต้องหา หรือ คิด พัฒนาวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งยิ่งขึ้นไป (หมายถึง ผลผลิตดีขึ้น ต้นทุนถูกลง ทั้งต้นทุนตัวเงิน และต้นทุนทรัพยากร พลังงานที่ใช้ในการรีไซเคิล) ในส่วนของอัพไซเคิล ก็อาจต้องช่วยคิดว่า จะทำอย่างไร ให้สิ่งที่ถูกอัพไซเคิลมา เป็นที่นิยมในตลาด หรือ สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงๆ อาจเป็นเรื่องของราคาตลาด ภาครัฐ น่าจะมีส่วนช่วยในการผลักดันเรื่องนี้บ้างได้ไหม เช่น ซื้อ หรือ ใช้สิ่งนี้ รัฐบาลออกให้ เท่านี้เปอร์เซ็นต์ ลดภาษีได้ เท่านี้บาท เป็นต้น … ณ ตอนนี้ ผู้เขียนคงฝันรอไปก่อน แต่หลายฝันก็เป็นจริง ถ้าถูกบอกกล่าว บอกเล่า ถูกนำเสนอ ผู้เขียนมองว่า เรื่องของสิ่งแวดล้อมนี้ เราไม่ควรปฏิเสธว่า ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง ตราบใดที่โลกถูกขับเคลื่อนด้วยการค้า เงินตราแลกเปลี่ยน ก็ยังคงต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ แต่มันน่าจะดี ถ้าเรื่องราวของการอัพไซเคิล หรือการสนับสนุนส่งเสริมนั้น ยังประโยชน์ให้กับสังคมทุกหน่วย ตั้งแต่หน่วยย่อย ครัวเรือน ชุมชน ไปถึงหน่วยใหญ่ หรือ องค์กร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

งานนี้คิดให้ใหญ่ไปถึงระดับโมเดลเศรษฐกิจได้เลย ยิ่งเขียนยิ่งคิดยิ่งสนุก ต้องหยุดตัวเองไว้ก่อน ขอให้คุณผู้อ่านลองสนุกกับความคิดต่อไป ก่อนอ่านบทหน้า

ไพโรไลซิส (Pyrolysis)

คำว่า ไพโรไลซิสนี้ นับเป็นคำศัพท์เฉพาะ ใช้บอกถึงกระบวนการ “แตกตัวหรือสลายตัว” โดยใช้กระบวนการความร้อน บ้างก็ว่า “ไพโรไลซิสหมายถึง การสลายตัวของวัสดุอินทรีย์ที่ไม่มีออกซิเจนภายใต้สถานการณ์ที่มีอุณหภูมิสูง จากนั้นจะรับรู้สารประกอบทางเคมี สุดท้ายเราจะได้รับพลังงานที่มีประโยชน์”

และยังมีการให้ความหมายอีกมากมาย แต่โดยรวมแล้ว เราเรียนรู้ได้ว่า เป็นกระบวนการที่ใช้อุณหภูมิสูงในระดับหนึ่ง ตามแต่วัสดุที่ต้องการจะนำไปไพโรไลซิส เพื่อให้เกิดการ แตกตัว สลายตัว แยกโมเลกุล ก่อให้เกิดเป็นวัสดุใดๆ ตามโครงสร้างทางเคมีของวัสดุที่นำเข้ากระบวนการไพโรไลซิส

คำว่า ไพโรไลซิส นี้ มีใช้กันอย่างแพร่หลายมานานมากแล้ว ถ้าเราไม่ยึดติดว่า pyrolysis ต้องดำเนินการในเครื่องปิด ความร้อนสูงมากนั้น .. ถ้าจะกล่าวถึง คำศัพท์ และลักษณะที่เป็นไปของการไพโรไลซิส ต้องเรียกได้ว่า เป็นกระบวนการตั้งแต่ยุคโบราณกันเลยทีเดียว พบการไพโรไลซิสมาตั้งแต่สมัยยุคอียิปต์โบราณ นั่นคือการใช้เมททานอลในขั้นตอนเตรียมศพเพื่อทำมัมมี่ โดยเมททานอลที่ใช้นั้น ได้จากขั้นตอนการทำถ่านหุงต้มนั่นเอง

สำหรับการคิดค้นนวัตกรรมที่ใช้กระบวนการพาโรไลซิส เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน (Renewable Resource) นั้น มีมานานแล้ว ตัวผู้เขียนเองได้รู้จักคำว่า “พาโรไลซิส” ครั้งแรก ก็ช่วงปี พ.ศ.2553 ซึ่งในเวลานั้นเอง ก็ได้ค้นคว้าเรื่องนี้ในระดับหนึ่ง ก็พบว่ามีบทวิจัยวรรณกรรม และมีบทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เขียนไว้ค่อนข้างมาก และเขียนไว้นานแล้ว

ในความเข้าใจและการสรุปความของผู้เขียนนั้น พาโรไลซิส นับเป็นอีกกระบวนการหนึ่งที่น่าจะต้องแยกออกจากการรีไซเคิล คือ จะมองว่าพาโรไลซิส เป็นกระบวนการหนึ่งเพื่อใช้รีไซเคิล ก็เป็นไปได้ แต่ในการให้ความหมายและการกล่าวถึงคำว่า “รีไซเคิล” ในไทยนั้น ยังคงตีความอย่างตรงไปตรงมา เช่น กระดาษ รีไซเคิลเป็น กระดาษ หรือ พลาสติก เป็นเม็ดพลาสติก (แน่นอนว่า การรีไซเคิลลักษณะนี้ทำให้ตัววัสดุนั้นลดคุณภาพลง แต่ภายหลังมีการใช้คำว่าอัพไซเคิล หรือดาวน์ไซเคิลขึ้นมา การตีความ “รีไซเคิล” จึงละเอียดยิ่งขึ้น ในทัศนะของผู้เขียนนั้น มองว่าเรื่องนี้ยังดิ้นได้อยู่อีกมาก ขึ้นอยู่กับตัวชี้วัดของการ อัพไซเคิล รีไซเคิล ดาวน์ไซเคิล คืออะไร สมมุติถ้าผูกติดกับเกรดของวัสดุที่ได้ ก็เรียกว่าแทบจะไม่มีสิ่งใด รีไซเคิลหรืออัพไซเคิลได้เลย จะมีแก้ว ที่รีไซเคิล ก็ยังเป็น แก้ว ส่วนสิ่งอื่นๆ นั้น ก็ลดคุณภาพลงไป แต่ถ้าเมื่อไหร่นำวัสดุที่ได้จากกระบวนการไปสร้างมูลค่าเพิ่ม และสังคมยอมรับว่า การตีความนั้นควรใช้เรื่องมูลค่าทางเศรษฐกิจของผลิตภัณฑ์ลำดับสุดท้าย เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ผู้เขียนคิดว่า ก็ยังสามารถใช้คำว่าอัพไซเคิลกับหลายๆ สิ่งได้อยู่

ทั้งนี้ เราอย่ามัวติดกับดักของการตีความกันเลย ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า การตีความนั้น ทำให้เรารู้ และเข้าใจชัดเจนขึ้น เข้าใจถูกต้องขึ้น แต่ในขณะเดียวกันผู้เขียนเองก็ไม่ปิดกั้นความคิด เพราะในวันหนึ่งข้างหน้าอาจมีการค้นพบความหมายหรือกระบวนการที่จะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป คนที่คิดค้นได้ อาจเป็นหนึ่งในคุณผู้อ่านก็เป็นได้

สำหรับคำว่า ไพโรไลซิส ขออธิบายชัดๆ ว่าในที่นี้ ผู้เขียนจะใช้คำว่า ไพโรไลซิส กับกระบวนการ “เปลี่ยนพลาสติก ให้เป็นน้ำมัน” และอาจมีเรื่องยางใช้แล้วบ้าง ในฐานะหนึ่งในคุณขยะ ที่ยังเรียกได้ว่าเป็นทางตันอยู่

จากที่เขียนขยายความมาภายใต้หัวข้อการเดินทางของขยะนี้ ผู้เขียนยังไม่สาธยายมากนัก เพราะต้องการให้คุณผู้อ่านเห็นภาพรวม ทั้งในส่วนของขยะที่เรียกได้ว่าขยะจริงๆ คือทิ้งรวมๆ กันในถุงเดียว และถูกมัดรวมกันไปวางไว้หน้าบ้าน หรือในส่วนของวัสดุเหลือใช้ คือ ขยะที่ถูกคัดแยก และเตรียมพร้อมเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการต่างๆ หรือที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ส่งขยะไปเกิดใหม่ นั่นเอง จริงๆ แล้วถ้ามองลึกลงไปในเรื่องเส้นทางของขยะ เราจะเห็นถึงความพยายามของภาคส่วนต่างๆ ในการทำให้ปริมาณขยะลดลงให้น้อยที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้

คุณผู้อ่านมีวิธีลดปริมาณขยะให้น้อยที่สุดไหม และ มีแนวคิดอะไร มีความฝันอะไรเกี่ยวกับการจัดการขยะในบ้านเราบ้าง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *