โดย พิมาภา ธิติวณิชย์
พอพูดถึงคำว่า “แก้ว” คุณผู้อ่านนึกถึงสิ่งใดบ้าง.. คำตอบคงมีเยอะมากๆ จนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว
เรียกได้ว่า “แก้ว” เป็นหนึ่งในวัสดุ (หรือผลิตภัณฑ์) ที่ใกล้ชิดกับเรามากๆ และเรียกได้ว่า “มองไปทางไหนก็เห็นแก้ว” กันเลยทีเดียว ตั้งแต่แก้วที่เข้าใจชัดเจนในความหมายนั้น เช่น ขวดแก้ว ชามแก้ว อ่างแก้ว แก้วน้ำ คืออะไรก็ตามที่เป็นแก้ว หล่นแล้วแตกเพล้ง! นั่นคือแก้ว … ไปจนถึงกลุ่ม กระจกเงา หลอดฟลูออเรสเซ้นส์ กระจกต่างๆ (ประตู หน้าต่าง กระจกปูโต๊ะ) นี้ก็มีส่วนประกอบหลัก สารตั้งต้น ตัวเดียวกัน (แต่การคัดแยกแตกต่างกันนะ เราจะไม่แยกอยู่ในกลุ่มเดียวกัน)
เพื่อให้เข้าใจคำว่า “แก้ว” ที่จะพูดถึงในหัวข้อนี้ ก็ขอยกนิยามมาขยายความ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันเสียก่อน
“แก้ว” คือ…
วัสดุเซรามิกชนิดหนึ่งได้จากการใช้ทรายขาว โซเดียม และปูนขาวมาหลอมในเตาที่อุณหภูมิราว ๑,๕๐๐ องศาเซลเซียส พอเย็นจะได้สิ่งที่มีลักษณะโปร่งใส แข็ง แต่เปราะแตกง่าย ถ้าใช้ทำผนัง หรือบานประตู เรียกว่า กระจก ถ้าฉาบปรอทด้านหลัง เรียกว่า กระจกเงา
นอกจากนี้ ยังมี.. นิยามว่า ..
…
โดยรวมแล้ว สรุปได้ว่า ตระกูลแก้วทั้งหลายมี “ซิลิกา” เป็นส่วนผสมหลักๆ ที่เหลือก็มีความจำเป็นในกระบวนการผลิต เช่น โซดาแอช โดโลไมต์ และอาจมีสารที่ทำให้แก้วเป็นสีต่างๆ … และเราได้ซิลิกามาอย่างไร? เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายท่านพอรู้อยู่แล้วว่า “แก้ว มาจาก ทราย” .. ใช่แล้ว แร่ซิลิกา มีในทรายนั่นเอง แต่ไม่ใช่ทรายทุกแหล่งจะมีซิลิกาดังที่ต้องการ ทรายที่นิยมนำมาทำแก้วหรือกระจกนั้นคือ “ทรายแก้ว” นั่นเอง คุณสมบัติหลักคือเม็ดทรายมีขนาดเล็ก มีแร่ซิลิกาปริมาณมากในเม็ดทรายเหล่านั้น และที่สำคัญการนำทรายมาทำแก้ว ไม่ใช่ว่าจะไปตักมาทำได้เลย ต้องมีการ “แต่งแร่” อีกด้วย

แหล่งแร่ซิลิกาในไทยพบได้ค่อนข้างหลายจุด ที่ยอดฮิตจะอยู่ที่ระยอง และชุมพร ที่เปิดให้สัมปทานและทำเหมือง แต่ไม่ใช่ว่าจะมีแค่ 2 จังหวัดนี้ ยังมีจังหวัดเลียบชายทะเลใต้อีกหลายแห่ง เชื่อว่าพอพูดถึงทราย หล่ายท่านอาจนึกไปถึงทรายที่อยู่ตามชายหาด แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เรายังพบแหล่งทรายแก้วได้บริเวณที่ห่างจากชายหาด หรือไม่ใกล้ชายหาดเลยก็มี วิธีที่จะรู้ได้ว่าที่บริเวณนั้นเป็นแหล่งแร่ทรายแก้วหรือเปล่า เราอาจต้องอาศัยจุดสังเกตทางชีวภาพ และทดลองขุดดูสัก 30 เซนติเมตร หรือ มากกว่านั้น ก็จะพบว่าพื้นที่ที่เป็นแหล่งทรายแก้ว นั้นจะมีลักษณะเป็นทรายละเอียดเลย หลายครั้งที่พบแหล่งทรายแก้ว เกิดจากการขุดบ่อน้ำบาดาลแล้วพบโดยบังเอิญ เอาล่ะ.. เราจะไม่ลงลึกเรื่องนี้มากนัก เพราะจะต้องพูดไปไกลถึงแหล่งแร่ทรายแก้วในจังหวัดต่างๆ และปัญหาที่กำลังเผชิญอีกยิบย่อยมากมาย ก็จะหลุดประเด็นไปหน่อย ก็เรียกว่ายกมาเขียนให้อ่านสนุกๆ
เราพูดถึงทรายกันไปแล้ว ก็มาถึงส่วนผสมอื่นๆ ที่สำคัญต่อกระบวนการหลอมแก้วเช่นกันคือ คือ โซดาแอช หินปูน หินฟันม้า เศษแก้ว

โซดาแอช ทำหน้าที่หลักๆ คือ ลดจุดหลอมเหลวของซิลิกา โดยปกติ หลอมทรายอย่างเดียวเลยต้องใช้ความร้อนสูงมากๆ สูงถึง 1,750 องศาเซลเซียส กว่าจะถึงจุดหลอมเหลว แต่โซดาแอชจะไปทำปฏิกิริยาทำให้จุดหลอมเหลวลดลงมาได้ที่ 1,200 องศาเซลเซียส ปัจจุบัน โซดาแอชนั้นสังเคราะห์ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะสังเคราะห์จากเกลือแกง ได้มาจากดิน หรือแหล่งพืช ก็ตาม

หินปูน ทำหน้าที่ให้ความแข็งแรงกับแก้ว ถ้าเปรียบเทียบกับร่างกายเรา ที่เราสามารถคงรูปความเป็นมนุษย์ได้นี้ ก็มีกระดูกทำหน้าที่หลักๆ ถ้าไม่มีกระดูกคงตัวอ่อนปวกเปียกกันแน่ๆ กระดูก ก็คือ แคลเซียม และเช่นกัน ในแก้ว ก็ต้องการแคลเซียม ซึ่งได้มาจากหินปูน นอกจากหินปูนแล้ว ยังมี โดโลไมท์ ที่สามารถใช้แทนกันได้ ในประเทศไทย แหล่งแร่โดโลไมท์พบได้มากใน จ.กาญจนบุรี อ้อ. นอกจากหินปูน หรือ โดโลไมท์นี้ จะทำให้แก้วมีความแข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้แก้วหรือกระจกนั้น มีความทนทานต่อสารเคมีอีกด้วย

ภาพเหมืองหินฟันม้า: แหล่งข้อมูล https://www.thaiceramicsociety.com/rm_soil_feldspar.php
หินฟันม้า หรือ แร่เฟลด์สปาร์ ซึ่งพบได้ในชั้นหินอัคนี แต่ถ้าจะเรียกว่า “พบได้มาก” “พบได้ง่าย” หรือ แม้กระทั่งสามารถนำออกมาใช้งานได้คล่องๆ ในระดับอุตสาหกรรมบ้านเรานั้น ได้มาจากสายแร่ “เพกมาไทต์” ซึ่งแหล่งแร่นี้ พบได้มากในจังหวัดราชบุรี และกาญจนบุรี และพบได้ประปรายในหลายจังหวัด (แต่ที่ผู้เขียนกำลังคิดอยู่นั้นคือ จริงๆ ก็คงต้องพบได้ทั่วไป เพราะหินอัคนีนี้คือ เปลือกโลกเลยนะ เพียงแต่ว่า พบได้ยาก ง่ายเพียงไร นั่นว่ากันอีกเรื่อง แต่แหม! เปลือกโลกเคลื่อนตลอดเวลานะ! ใครจะล่วงรู้ได้ว่าอนาคตเราจะเจออะไรใต้แผ่นดินบ้าง ก็ขอเพียงอย่าหยุดยั้งความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม และการวิจัยค้นคว้า ก็พอ)

เศษแก้ว สิ่งนี้นับว่าสำคัญมากในกระบวนการผลิตแก้ว คำว่าเศษแก้ว นั้นหมายถึง เศษแก้วที่เหลือจากโรงงานผลิต เช่น ไม่ผ่านมาตรฐาน หรือเศษกระจกตัดขอบ ไปจนถึงเศษแก้วจาก ร้านค้า บ้านเรือนประชาชน แต่จะมาจากไหนก็ตาม เศษแก้วต่างๆ จำเป็นต้องถูกคัดแยกให้เข้าพวก ปนกันไม่ได้เลย เช่น ขวดใส ขวดสี (ซึ่งก็ต้องแยกสีด้วย) แก้วน้ำจานแก้ว กระจกใส กระจกสี (เขียว ชา ดำ ฟ้า ฯลฯ ก็ต้องแยกสี ไม่ปนกัน) แต่ที่สำคัญคือ กระจกปรับแปลงต่างๆ เช่น กระจกเทมเปอร์ (กระจกนิรภัย) หรือ กระจกเงา ต้องเน้นย้ำเลยว่าปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีที่รองรับการรีไซเคิลนะ ไว้เล่าให้ฟัง แต่ทั้งนี้ ก็ควรแยกไว้ และเขียนระบุไว้ (ถ้าคุณผู้อ่านจะลองเริ่มเป็นนักแยกขยะมือทอง ก็ลองได้เลย นับว่าเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศอย่างยิ่ง .. ว่าแล้ว เดี๋ยวผู้เขียนเขียนเล่มนี้จบ จะลองร่างโครงการนักแยกขยะมือทองดูสักตั้ง คงสนุกน่าดู)
การใช้เศษแก้วเป็นส่วนผสมในการหลอมแก้วใหม่นี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนการใช้ทรัพยากรทดแทนแล้ว ยังมีประโยชน์มากในการหลอม เพราะการนำเศษแก้วมาเป็นส่วนผสม จะช่วยให้ใช้อุณหภูมิที่ต่ำลง (สัดส่วนที่ใช้ร่วมกับทรายก็แตกต่างไป แต่เท่าที่ศึกษาข้อมูลโดยสรุป ผู้ผลิตมักนิยมใช้เศษแก้วในสัดส่วน 80% และทรายแก้วอีก 20% จากนั้นก็ผสมส่วนผสมอื่นๆ ตามสูตรกระจกหรือแก้ว แต่ละชนิด)
ขั้นตอนการผลิตแก้วนั้นก็ช่างน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ก่อนที่จะไปถึงความน่าตื่นตาตื่นใจนั้น ผู้เขียนรู้สึกทึ่งและยกย่องบรรพบุรุษมนุษย์เราจริงๆ เพราะแก้วนี้มีใช้มาตั้งแต่ 3,500 – 5,000 ปีที่แล้ว โดยค้นพบว่ามนุษย์เริ่มทำแก้วและใช้แก้วตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณ และยุคเมโสโปเตเมีย และคิดดูสิว่า ในยุคสมัยไกลขนาดนั้น การสกัดเอาสารแต่ละชนิด หรือแม้กระทั่งการทำอุณหภูมิให้สูงพอที่จะหลอมแก้ว หรือแม้กระทั่งเทคนิคโบราณที่สุด คือ การเป่าแก้ว .. มนุษย์ในยุคที่ไม่มีเครื่องจักร เครื่องมือช่วยอำนวยสะดวกนั้น ต้องมีความเป็นอัจฉริยภาพขนาดไหนถึงจะประดิษฐ์สิ่งนี้ขึ้นมา เพราะมันไม่ใช่แค่การพัฒนา มันคือการค้นพบเลย (จะว่าไปแล้ว ก็ล้วนน่าตื่นตาตื่นใจกับการค้นพบหลายต่อหลายสิ่ง ตั้งแต่ยุคสำริดเลยล่ะ)
ในกลุ่มงานอุตสาหกรรม การผลิตก็จะใช้เครื่องจักรกันทั้งสิ้น โรงงานผลิตขวดแก้วขนาดใหญ่มีอัตราการผลิตขวดแก้วได้ถึงนาทีละ 400 ใบเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมแก้วใส่ไวน์ แก้วต่างๆ แจกัน กระจกแผ่นๆ ฯลฯ
ในการผลิตแก้วนั้น ก็นำส่วนผสมทั้งหมดที่ได้ผสมเข้ากันดีแล้ว ส่งเข้าสู่เตาหลอมที่ความร้อนประมาณ 1,500 องศาเซลเซียส จากนั้น ส่วนผสมทั้งหมดจะถูกหลอมเป็นน้ำแก้ว และแน่นอนว่า ร้อนจี๋สีส้มสว่างจ้ากว่าแสงแดด และน้ำแก้วไม่ใช่น้ำใสๆแบบไหลผ่านคล่องๆ คุณผู้อ่านลองนึกถึงลาวา ที่มีความเหนียวๆ หน่อย ก็คล้ายๆ กัน จากนั้นน้ำแก้วก็จะส่งไปตามท่อ และถูกตัดตามปริมาณที่จะใช้ต่อขวด เข้าแม่พิมพ์ จากนั้นจะเริ่มฟอร์มตัวเป็นขวด และทำให้เป็นโพรงตรงกลาง (คือ เป็นขวดนั่นเอง) โดยเทคนิคการ “เป่าแก้ว” แต่เป่าโดยเครื่อง ไม่ใช่เป่าโดยคน เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนแต่งปากขวด ขัด เคลือบ ในลำดับต่อไป
สำหรับแก้วไวน์ ก็ใช้เทคนิคเบื้องต้นคล้ายกัน จะต่างกันหน่อยก็ตรงที่แก้วไวน์ มีก้าน มีฐาน ก็ต้องเชื่อมเป็นส่วนๆ ไป
ส่วนกระจกนั้น จะมีความหลากหลายขึ้น โดยเบื้องต้นการหลอมออกมาเป็นน้ำแก้ว มีวิธีการขั้นตอนเดียวกันกับที่อธิบายข้างต้น แต่น้ำแก้วนี้แทนที่จะไหลเข้าท่อและถูกตัดเป็นท่อนๆ ก็จะไหลลงมาในเพลทเป็นแผ่นยาว ยาว ยาว และจะยาวต่อไปถ้าไม่ตัด จากนั้นก็เอาไปเข้าเครื่องตัดเป็นแผ่นขนาดตามที่ต้องการ
กระจกนี้ นอกจากจะมีเป็นแบบใส แบบสี ที่ขนาดและความหนาต่างๆ กันแล้ว ยังมีเพิ่มเติมลูกเล่นอีกมากมาย เช่นที่เรารู้จักกันดีมากๆ คือ กระจกเงา ที่เอาไว้ส่องหน้า ส่องร่างกายเรา หรือแม้กระทั่งเอาไปประดับห้อง สำนักงาน ก็มี กระจกนิรภัย ที่แข็งแรงมากๆ ทุบไม่แตก แต่ถ้ากระทบลักษณะตอก นี้แตกแน่ๆ แต่จะแตกออกเป็นเม็ดข้าวโพด ไม่มีความคม กระจกกึ่งนิรภัย ที่ร้าวแต่ไม่ตกลงมาแตกเสียทีเดียว เพราะถูกยึดไว้ด้วยกรอบโครงสร้างต่างๆ กระจกเสริมลวด เพื่อให้เป็นลวดลายสวยงามและแข็งแรง กระจกลายต่างๆ เป็นต้น
มาถึงบรรทัดนี้ คุณผู้อ่านคงเห็นภาพชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ในกลุ่ม “แก้ว” แล้ว และอาจจะทึ่งมากขึ้นอีกหน่อยตรงที่ แก้ว หรือ กระจกนี้ “ไม่ใช่ทุกๆ ชนิด จะสามารถนำไปรีไซเคิลได้”
กระจกที่นำไปรีไซเคิลไม่ได้ แต่อาจพิจารณานำไปรียูส (ใช้ซ้ำ) ในรูปแบบอื่นๆ ได้ ได้แก่ กระจกนิรภัย กระจกเงา เนื่องจากกระจกนิรภัยนั้น ได้ผ่านการเคลือบน้ำยา และผ่านการอบด้วยอุณหภูมิตามสูตร ออกมามีคุณสมบัติดังกล่าวคือ ยากต่อการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อกระจกแล้ว ส่วนกระจกเงานั้น จะทำให้สะท้อนภาพได้ก็ต้องมีการฉาบไว้หนึ่งด้าน ที่นิยมใช้ฉาบคือโลหะเงิน ก็ฉาบกันบางๆ เท่านั้น และเคลือบด้วยเชลแล็ค เพื่อไม่ให้โลหะลอกหลุดได้ง่าย และยังทาสีทับอีกชั้นหนึ่ง เหล่านี้ทำให้กระบวนการรีไซเคิลนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หรือถ้าจะคิดค้นกระบวนการขึ้นมา อาจต้องใช้ต้นทุนทั้งเงินตรา พลังงาน ทรัพยาการ ในอัตราที่สูง (แต่ก็ไม่แน่ ในวันหนึ่งข้างหน้า อาจมีนวัตกรรมดีๆ เพื่อการนี้ก็ได้)
เมื่อรีไซเคิลไม่ได้แล้ว ทำอย่างไร.. ผู้เขียนก็คงขอให้ผู้อ่าน “ช่วยแยกเอาไว้” อยู่ดี เพราะ
– กระจกนิรภัย หรือกระจกเทมเปอร์กลาส สามารถนำกลับไปใช้ในงานก่อนสร้างได้ มีงานวิจัยที่พิสูจน์และให้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า การใช้เศษกระจกนิรภัยเป็นส่วนผสม หรือแม้กระทั่งใช้แทน กรวด หิน ทรายที่ใช้ในการก่อสร้าง ก่อนเทปูนนั้น มีคุณสมบัติช่วยรับน้ำหนักได้ดีกว่าหิน กรวด ทราย เสียอีก นอกจากนี้ ยังเอาไปใช้ทำพื้นหินขัดได้อีกด้วย
– กระจกเงา .. น่าเสียดายที่ไม่สามารถนำไปเป็นทรัพยากรทดแทนได้ (ในปัจจุบัน อาจมีบางรายนำไปใช้งานชนิดอื่นในลักษณะของการรียูส (ใช้ซ้ำ) ได้ โดยอาจเป็นรูปแบบของงานประดิษฐ์ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เนื่องจากกระจกมีความคม ข้อแนะนำคือ ห่อไว้ให้ปลอดภัยต่อคนที่จัดเก็บ อาจแยก เขียนไว้ให้ชัดเจน ปลายทางก็คงนำไปลงหลุมฝังกลบ หรือ อาจนำไปเผาในเตาเผาประสิทธิภาพสูง เพื่อให้พลังงานในกระบวนการผลิตต่อไป
อย่างไรก็ตาม กระจกที่ปนเปื้อนคราบน้ำมัน หรือสารเคมี ไม่สามารถนำเข้ากระบวนการรีไซเคิลได้ อาจต้องช่วยกันทำความสะอาดเสียก่อน ทั้งนี้ถ้าทิ้งไว้ขนาดที่ว่าเป็นคราบเลย ขัดล้างไม่ออกกันแล้ว ก็เรียกได้ว่า หมดหวัง ต้องจัดการทิ้งจริงๆ
สำหรับกระจก แก้ว ขวด อื่นๆ นั้นก็สามารถนำกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ ทั้งนี้ จำเป็นต้องแยกให้ถูกประเภท ไม่ปะปนกัน เรื่องนี้สำคัญมาก สำหรับผู้เขียนนี้ กลุ่ม “แก้ว” นับเป็นวัสดุเหลือใช้ที่ “รีไซเคิล” ได้อย่างแท้จริง เพราะรีไซเคิลคือการนำกลับไปเข้ากระบวนการและกลับมาใช้ซ้ำใหม่ แม้ว่าในกระบวนการจะต้องใส่ทรายเพิ่ม ต้องใช้ส่วนผสมเพิ่มบ้าง แต่ก็กลับมาเป็นแก้ว กระจก ใหม่ๆ หมุนเวียนกลับมาให้เราใช้ได้
ในขณะเดียวกัน ถ้าเราคิดกันว่า ไม่ต้องแยกก็ได้ ไม่ต้องเอาไปรีไซเคิลหรอก จะเกิดอะไรขึ้น
ทั้งขวดแก้วทั้งกระจกนั้นก็จะถูกนำไปหลุมฝังกลบอย่างน่าเสียดาย เสียดายที่วัสดุเหลือใช้ หรือ ขยะ เหล่านี้ จริงๆ แล้วมีคุณค่าในฐานะทรัพยากรทดแทน ก็แปรเปลี่ยนเป็นขยะอย่างสมบูรณ์ ซ้ำยังต้องใช้พื้นที่ฝังกลบ และขอบอกอีกข่าวหนึ่งคือ ขวดแก้วนี้ ไม่มีย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ นอกเสียจากจะบดให้เป็นผงละเอียดไป ซึ่งก็จะคงความเป็นผงอย่างนั้นแหละ ไม่ย่อยสลายไป
เมื่อทราบข้อมูลกันแล้ว จึงขอเชิญชวนให้ช่วยกันแยกแก้ว แยกกระจก ส่งรีไซเคิลกันเถอะ อย่าให้น้องๆ ขวดแก้ว กระจกของเรา ต้องกลายเป็นทวด ของเหลนๆ เรา เลย อยู่ยงคงกระพันจริงๆ